1984 the bounty เรื่องราวของผู้หมวดบลีห์ (Sir Anthony Hopkins) ซึ่งความเถื่อนก่อให้เกิดการกบฏบนเรือของเขา ติดตามทั้งยังความอุตสาหะของเฟลตเชอร์ คริสเตียน (Mel Gibson) ที่จะพาคนของเขาไปไกลกว่าการแก้เผ็ดของอังกฤษแล้วก็การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของผู้หมวดบลีห์ เพื่อพาผู้จงรักภักดีของเขาไปยังติเตียนมอร์ทิศตะวันออกโดยสวัสดิภาพด้วยเรือชูชีพลำเล็กๆ

ภาคนี้ก็ยังแอบหยอดปัญหาให้คิดต่ออีกมุมว่า กระบวนการศาลเตี้ยรวมทั้งออกกำจัดคนอัลธพาลแบบใจยักษ์ (ไม่ขอคืนดีกฏหมาย) ก็บางทีก็อาจจะเป็นเพียงแต่การฆาตกรรมในนามของความดีงามไหม แม้กระนั้นถึงแม้หลักสำคัญที่ตัวหนังทิ้งเอาไว้จะน่าดึงดูดแล้วก็ประทับใจแล้วก็แค่ไหน แม้กระนั้นท้ายที่สุดตัวบทก็ทำให้เส้นเรื่องรองทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามานี้ถูกเล่าผ่านพล็อตที่ถูกใส่เอาไว้เพียงแค่บางๆก่อนที่จะถูกเขี่ยทิ้งไป

เนื่องจากว่ามันค่อยเกินกว่าจะถูกถือเอามาเล่าต่อได้เป็นชิ้นเป็นอัน และไม่ได้ส่งผลต่อผลสรุปไปๆมาๆกกว่าความปรารถนาต้องการเกษียณอายุ เพราะเหตุว่าต้องการปลดความรู้สึกงงงันในใจ แปลงเป็นเพียงแต่หลักสำคัญคมๆที่ใส่เพื่อเติมแต่งพล็อตที่ทายใจง่าย มิได้มีอะไรใหม่สลับซับซ้อน 1984 the bounty ให้มองมีอะไรขึ้นมาบ้างก็เพียงแค่นั้นหากแม้ฉากแอ็กชันโหดเหี้ยมติดเรต R ในภาคนี้จะมิได้ย้ำรัวๆจัดเต็มเท่า 2 ภาคแรก

แต่ว่าเรื่องความเหี้ยมโหดนี่พูดได้ว่า ชั่วร้ายสลัดกว่าทุกภาคเลยนะครับ เนื่องจากภาคนี้ พวกเราจะได้มองเห็นแม็กคอลกลายเป็นพญายมที่ฆ่าแบบเฉือนเนื้อเถือหนัง เรียกว่าสยดสยองน้องๆหนังการสังหารเลยล่ะ ซึ่งก็จะต้องสรรเสริญคุณลุง เดนเซล วอชิงตัน วัย 68 ปี ที่ยังคงไว้ลายงานบู๊เดือดๆด้วยติดอยู่แรกเตอร์นิ่งอ่อนโยน สุขุม ขำขันร้าย แม้กระนั้นแอบความถนัดการฆ่าระดับพระรอยแดงเอาไว้ได้อย่างหนัก เร็วทันใจ จังหวะเน้นย้ำๆที่ถูกต้องแม่นยำ สาแก่ใจคอแอ็กชันสายชั่วร้าย แบบไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือเนือยให้มองเห็น

1984 the bounty

ฝ่าคลั่งจอมบัญชาการเรือนรก

ภาพยนตร์ประเด็นนี้มีฉากย้อนอดีตจากศาลทหารที่พอร์ตสมัธ5 ของนาวาอากาศตรีวิลเลียม ไบลห์ จากการสูญเสีย HMS Bounty ให้กับพวกกบฏ นำโดยเพื่อนพ้องของเขา Fletcher Christian ในระหว่างการเดินทางไปยังตาฮิติเพื่อสะสมฝักสาเกสำหรับในการเปลี่ยนถ่ายในสมุทรแคริบเบียน . ไบลห์เริ่มเดินทางจากอังกฤษในธันวาคม พุทธศักราช 2330 โดยเลือกที่จะแล่นเรือไปด้านตะวันตกของ Bounty รอบปลายสุดของอเมริกาใต้เพื่อพากเพียรใช้การเดินทาง

เพื่อเติมเต็มความทะยานอยากสำหรับเพื่อการออกเรือรอบโลก ความมานะบากบั่นที่จะอ้อมแหลมฮอร์นล้มเหลวเนื่องด้วยลักษณะอากาศเลวทราม แล้วก็เรือจึงควรใช้ทางทิศตะวันออกที่ยาวกว่า ท้ายที่สุดก็มาถึงตาฮิติในตุลาคม พุทธศักราช 2331 ไบลห์พบว่าเนื่องมาจากความช้า ลมก็เลยต่อต้านพวกเขาเพื่อเดินทางกลับอย่างเร็ว และก็พวกเขาจำต้องอยู่บนเกาะเป็นเวลานานกว่าที่คิดแผนไว้สี่เดือน

ระหว่างที่พวกเขาอยู่ในตาฮิติ ระเบียบวินัยของเรือกลายคือปัญหา ลูกเรือคนจำนวนไม่น้อยเริ่มถูกใจความสำราญกล้วยๆที่ชีวิตบนเกาะมอบให้ โดยยิ่งไปกว่านั้นสตรีท้องถิ่น ทำให้ความเชื่อมโยงกับกัปตันเคร่งเคลียด ในเวลาเดียวกัน ไบลห์ก็ทำให้ลูกเรือจำเป็นต้องบีบคั้น สุดท้ายก็ถึงจุดแตกหักเมื่อสมาชิกบางบุคคลตั้งมั่นที่จะอยู่บนเกาะถัดไป เมื่อเรือออกมาจากตาฮิติ เฟลตเชอร์ฝืนใจทิ้งเมาอาตัว เมียคนท้องถิ้นของเขาไว้เบื้องหน้าเบื้องหลัง

การกลับมาใช้ระเบียบวินัยของนาวิกโยธินอีกทีสำหรับการเดินทางกลับทำให้ไบลห์เปลี่ยนเป็นทรราชที่ไม่เต็มใจที่จะทนต่อการไม่เชื่อฟังอะไรก็ตามทั้งหมด 1984 the bounty สร้างบรรยากาศที่ความเครียดและก็ความร้ายแรง ไบลห์การันตีว่าเรือเลอะเทอะรวมทั้งสั่งให้ลูกเรือชำระล้างหลายทีต่อวัน เพศชายหลายท่านรวมทั้งคริสเตียนถูกไบลห์เฆี่ยนตีด้วยลิ้นเล่นกับความไม่พึงพอใจของคริสเตียนต่อการกระทำต่ออีกทั้งเขาและก็คนของไบลห์

สุดท้ายสมาชิกในกลุ่มที่แข็งกระด้างมากขึ้นเรื่อยๆก็โน้มน้าวให้คริสเตียนเข้าควบคุมเรือ ไบลห์ถูกปลุกให้ลุกจากเตียงแล้วก็โดนจับจับ พร้อมด้วยคนที่จัดว่าจงรักภักดีต่อเขา และก็พวกเขาถูกบังคับให้ลงเรือ หาให้ต่ำที่สุด รวมทั้งลอยแพ ภาพยนตร์ติดตามทั้งยังความเพียรพยายามของเฟลตเชอร์ คริสเตียน สำหรับการพาคนของเขาพ้นโทษจากการลงอาญาของอังกฤษ

และก็การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของไบลห์เพื่อพาผู้จงรักภักดีของเขาไปยังหมู่เกาะประเทศอินเดียทิศตะวันออกของชาวฮอลันดาโดยสวัสดิภาพด้วยเรือยาวไบลห์ผ่านความอาจหาญและก็ความชำนาญการเดินเรือที่สุดยอด แล้วก็การกลับมาของนักแสดงที่ดีแล้วก็คุณลักษณะความเป็นหัวหน้า เขาสามารถไปถึงอารยธรรมได้เสร็จภายหลังจากการเดินทางที่ลำบากโดยไม่จำเป็นต้องใช้แผนที่นำทางหรืออาวุธปืน

แต่ ชายคนหนึ่งถูกคนพื้นเมืองฆ่าตายในตอนที่ลูกเรือหยุดหาเสบียงอาหารบนเกาะที่ไม่เป็นมิตร ไบลห์รับบทบาทเป็นชายที่ถือเอาระเบียบและก็บัญชาการมากจนเกินความจำเป็น เกินข้อจำกัดของบริษัทเรือ แม้กระนั้นสุดท้ายนักแสดงของเขาก็บรรลุความสำเร็จสำหรับในการคุ้มครองปกป้องผู้ไม่ก่อการระส่ำระสายผู้ไม่คดโกงของเขา แล้วก็นำทางเรือที่ยัดเยียดของพวกเขาให้ไม่เป็นอันตราย

รีวิวหนัง “No One Will Save You” ดูแล้วอาการมันลุ้นวูบวาบ แบบอยากที่จะให้คะแนนเต็ม

ถ้าหากผู้ใดที่พอใจหนังแนวตื่นเต้นคละเคล้าไซไฟแบบคาดการณ์อะไรมิได้ คงจะจำเป็นต้องเหลียวหันมามองหัวข้อนี้ “No One Will Save You” ที่จะมาปฏิบัติหน้าที่กระตุกขวัญและก็บังคับปลุกอารมณ์ให้กับทุกคนได้ดิบได้ดีตลอด 90 นาทีของหนังหัวข้อนี้ ที่รับประกันว่าบางทีอาจคาดคะเนและก็คิดอะไรล่วงหน้ากับหนังหัวข้อนี้ไปก่อน เนื่องจากมันบางครั้งก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่คุณคิดไว้

แน่นอนว่า Spy Kids: Armageddon ยังคงพกพาสูตรสำเร็จแบบเก่า ๆ มาให้เชยชมอีกครั้ง มันให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปดู Spy Kids ภาคแรก ๆ สมัยที่ยังเป็นเด็กอีกครั้ง เพียงแต่เทคนิคงานสร้างและเทคโนโลยีสร้างหนังได้รับการพัฒนาตามยุคสมัยขึ้นไปมาก ทำให้อะไร ๆ ก็ดูสมจริงมากยิ่งขึ้น ถึงมันจะยังคงเอกลักษณ์ลูกเล่นปลอม ๆ ของหนังชุดนี้เอาไว้

และ โรเบิร์ต รอดริเกรซ ก็ยังคงรับหน้าที่ร่วมเขียนบทหนังเรื่องนี้อีกครั้ง ทำให้เขายังพรั่งพรูไอเดียใส่เข้ามาได้เพลิน ๆ มันก็ยังคงเป็นแอคชันสายลับที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีตามสไตล์ แม้ว่าจะมีฉากต่อสู้ใช้ความรุนแรงปะปนเต็มไปหมด แต่มันก็ลดทอนด้วยการลงรายละเอียดแบบใส ๆ แบบหนังครอบครัวเอาไว้ ถึงบทหนังจะเชยมาก ๆ ก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นพล็อตที่เหมาะเจาะกับคนดูทั้งครอบครัวนั่นแหละเล่าราวของ ไบรน์ อดัมส์ หญิงสาวที่อยู่อาศัยอยู่ในบ้านที่คุณรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆอย่างสันโดษ

แม้กระนั้นเหตุการณ์ของคุณจำต้องกลับไปเพียงแต่เลวทรามข้ามคืน เมื่อจำต้องเจอหน้ากับการบุกรุกบ้านของแขกที่ไม่อาจจะเจาะจงได้แจ่มชัดว่ามันเป็นตัวอะไร ทราบแค่เพียงมันตัวแปลกแปลก และก็ไม่บางทีอาจทราบถึงจุดหมายการมาของมันนี่เป็นผลงานปัจจุบันของ “ไบรอัน ดัฟฟิลด์” นักสร้างภาพยนตร์ดาวรุ่งที่น่าจับตาดูอีกคนภายในยุคนี้ โดยนี่ถือได้ว่าผลงานดูแลหนังยาวเรื่องที่ 2 ในอาชีพของเขา

ภายหลังที่เคยเดบิวต์จากภาพยนตร์ตลกสยองขวัญ Spontaneous มาเมื่อตอนก่อนวัววิด-19 โดยคราวนี้เขายังคงรับหน้าที่ควบคุมแล้วก็เขียนบทหนังเองอีกเหมือนเคยแม้กระนั้นในที่สุด ที่โชคร้ายอีกอย่างก็คือ จะด้วยความชำนาญขั้นเทวดาของแม็กคอล หรือความไม่รอบจัดของคนร้ายมาเฟียอิตาลีเอง หากแม้ทีแรกๆจะวางค้างแรกเตอร์ให้มีความขาดความกรุณาปรานี รุนแรง รังควานราษฎร

แม้กระนั้นในที่สุดตัวหนังก็มิได้วางพล็อตให้มาเฟียพวกนี้มองน่าสยดสยอง 1984 the bounty หรือกล้าหาญในระดับที่แม็กคอลจะสู้ด้วยได้อย่างยากเย็นแสนเข็ญ มิได้มีแม้กระทั้งจนถึงอิทธิพลหรือมือที่ไม่เห็นที่แม็กคอลจำเป็นที่จะต้องหวาดเกรงหรือมองเสียเปรียบ หรือมีเงื่อนงำที่ทำให้แม็กคอลกำเนิดความไม่แน่ใจที่จะยุ่มย่ามกับมาเฟียเหล่านี้อะไร ขนาดว่าสู้กับ Last Boss แล้วแท้ๆพาให้จุดไคลแม็กซ์แล้วก็ผลสรุปของเรื่องดูก่อนบสดชื่นจนถึงราบเรียบไปหมด

อีกจุดที่แอบเสียดายก็คือ ในภาคนี้ก็ยังคงมีปัญหาชนิดเดียวกันกับภาคก่อนๆที่ยังคงหนีไม่พ้น มันก็คือการวางหน้าที่ให้กับบรรดาดาราหนังร่วม รวมทั้งดาราหนังสมทบ ที่มิได้มีน้ำหนักสะดุดตาหรือมีความหมายต่อเรื่องราวหรือมีผลกระทบต่อแม็กคอลมากสักเท่าไหร่ นักแสดงบางตัวก็เลยมีหน้าที่อ้อนแอ้นๆบ้างงงงวยในค้างแรกเตอร์ บ้างถูกกลืนจมหายไปกับหนัง จนถึงทำให้มิได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมหรือรู้สึกเชื่อฟังมากแค่ไหน

รีวิวหนัง “Spy Kids: Armageddon พยัคฆีจิ๋วไฮเทค: วันสิ้นโลก” รีบูตใหม่ โก้เก๋ใสๆไม่แปลง

กลับมาอีกรอบกับหนังแอคชันเผชิญภัยวัยเด็กในตำนาน กับการรีบูตครั้งใหม่ที่เป็นการยกเครื่องในรอบกว่า 10 ปี แม้กระนั้นยังคงได้โอกาสมผู้ผลิตชุดเดิมมาดูแล้วใน “Spy Kids: Armageddon พยัคฆินจิ๋วไฮเทค: วันสิ้นโลก” ช่วงที่แปรไป กับเทคโนโลยีการผลิตหนังที่ปรับปรุงขึ้นไปมากมาย จำเป็นต้องมาดูกันว่าหนังสายตัวจิ๋วสุดไฮเทคในเวอร์ชั่นนี้จะทำออกมาได้น่าเร้าใจสักขนาดไหน

ไบรอัน ดัฟฟิลด์ เคยเป็นผู้เขียนบทหนังมาก่อน เขาเคยแต่งโครงเรื่องให้กับหนังดังๆอย่าง The Babysitter, Divergent: Insurgent รวมทั้งปัจจุบันกับ Love and Monsters ที่มองจากประสบการณ์ก่อนหน้าที่ผ่านมา เขาออกจะชำนาญกับงานประพันธ์หนังสยองขวัญ-ตื่นเต้นเป็นทุนเดิมอยู่ไม่น้อย แม้กระนั้นคราวนี้กลับมาในแนวสยองขวัญเหมือนปกติ แม้กระนั้นเสริมเติมด้วยความเป็นไซไฟลี้ลับ ซึ่งดูราวกับว่าจะยังเข้ามือเขาได้อย่างดีเยี่ยม

การเล่าเรื่องของ No One Will Save You นับว่าวับไวกำลังพอดี เปิดเรื่องมาก็เกือบจะไม่ต้องเสียเวล่ำเวลาปูเรื่องอะไรทั้งหมด เริ่มมายังไม่ถึงสิบนาทีก็(กระตุกขวัญ)เข้าใจเลย กลิ่นของหนังก็บางครั้งก็อาจจะคล้ายกับเอาชีวิตรอดท่ามกลางเหตุการณ์ที่ไม่เคยทราบอิโหน่อิเหน่ แบบ A Quiet Place หรือ Nope ที่พาผู้ชมติดตามชีวิตของผู้แสดงหลักไปเรื่อยเก็บข้อมูลแล้วก็เนื้อหาแบบรู้ทันกัน

ถือว่าเป็นกิมไม่กสำหรับในการเล่าที่เชื้อเชิญผู้ชมติดตามได้อย่างดีเยี่ยมพยัคฆินจิ๋วไฮเทค: วันสิ้นโลก กล่าวถึงเรื่องราวของอุบัติการณ์จากนักปรับปรุงเกมแปลงเป็นปัจจัยที่ทำให้เชื้อไวรัสคอมพิวเตอร์น่ายำเกรงกำเนิดแพร่ระบาดไปทั่ว ทำให้เด็กๆที่เป็นลูกของข้าราชการสายจำต้องร่วมมือกัน 1984 the bounty เพื่อหาทางคุ้มครองบิดามารดาของพวกเขาแล้วก็ช่วยเหลือกันคุ้มครองโลกใบนี้เอาไว้

“โรเบิร์ต รอดริเกรซ” คนที่ปลุกปั้นรวมทั้งสร้างแฟรนไชส์หนังชุดนี้มาตั้งแต่ต้น ตลอดทั้ง 4 ภาคก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา กลับมาในหนังเรื่องที่ 5 ที่เป็นการรีบูต เขาก็ยังคงส่งเสริมรวมทั้งกลับมารับหน้าที่เดิมอีกที ดูราวกับว่าตลอด 20 ปีให้หลัง เขายังคงบันเทิงใจกับการผลิตสรรค์แล้วก็ละเลงการผลิตพยัคเฆนทร์จิ๋วไฮเทค และก็คราวนี้ก็เหมือนกัน เขายังคงเอ็นหน้าจอยกับการปลดปล่อยแนวความคิดของตนเองลงในหนังแอคชันเด็กๆประเด็นนี้

อีกนักแสดงสำคัญที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยมุ่งมาดก็คือ หน้าที่ เอ็มมา คอลลินส์ ของคุณแฟนนิง เอาจริงเอาจังๆหากคนใดที่มองครบอีกทั้ง 3 ภาค ตัวหนังจะเฉลยคำตอบด้วยครับว่าคุณมีหน้าที่รวมทั้งเกี่ยวโยงกับแม็กคอลอย่างไร เพราะเหตุใดแม็กคอลจะต้องระบุมาที่คุณผู้เดียว (นักเขียนที่มารู้ทีข้างหลังก็เล่นเอาเซอร์ไพรส์แบบเดียวกันครับผม) แต่ว่าตัวหนังก็มิได้ให้หน้าที่กับคุณมากมายสักเท่าไหร่ หากแม้คุณเองจะสวมบทนี้ได้น่าดึงดูดพอควรก็ตาม

หากแม้ตัวหนังจะมีจุดที่โชคร้ายอยู่ไม่น้อย ทั้งยังพล็อตที่ทายใจง่ายไม่มีความต่างจากภาคอื่น แล้วก็พล็อตรองที่ยังทำเป็นไม่ถึง แม้กระนั้นอย่างไรก็ดี สำหรับแฟนหนังของ เดนเซล วอชิงตัน และก็สามภาคชุดนี้ นี่เป็นหนังจบสิ้นสามภาคที่ตบท้ายได้อย่างโหดเหี้ยมดุเดือดแบบไม่เกรงใจผู้ใดกัน ในเวลาเดียวกันตัวหนังก็ยังแทรกสอดมุมมองบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ได้อย่างท้า

เป็นหนังที่ยังคงให้ความบันเทิงแบบโหดเหี้ยมๆได้ไม่แพ้กับภาคก่อนๆแล้วยิ่งพอเพียงหนังดันมาฉายเวลาที่มีข่าวสารเรื่องผู้มีอำนาจในบ้านเมืองพวกเราก็ยิ่งเชื้อเชิญให้หม่นหมองเข้าไปใหญ่ มองเห็นแม็กคอลในหนังและก็แอบสังหรณ์ใจว่า ถ้าหากบ้านพวกเรามีแม็กคอลอย่างนี้สักคนนะ กำนันก็กำนันเหอะถึงกระนั้นก็จำเป็นต้องสารภาพล่ะว่าจากชื่อซีรีส์ พวกเราแอบมุ่งหวังว่าพวกเราจะได้ทราบจะกับโลกมือสังหารแล้ว

ก็เรื่องราวของกฎที่ต้องปฏิบัติในรีสอร์ทคอนติเตียนเนนตัลมากขึ้น แม้ว่าจะมีการแตะต้องๆโลกของมือสังหารอย่างการปรากฎตัวของ ตุลาการ(The Adjudicator) ที่โผล่มาแบบลึกลับแต่ว่าแทบจะไม่เป็นผลกับเรื่องโดยจะเน้นย้ำเรื่องราวของวินสตันกับแฟรงค์กี้ สก็อต ที่ได้ไปผูกโยงกับผู้แสดงในย่อหน้าข้างบนซะมากยิ่งกว่า ส่วนฉากคอนติเตียนเนนตัลส่วนมากจะเป็นฉากที่คอร์แม็กรอออกคำสั่งรวมทั้งจัดกิจกรรมสุดชั่วร้ายของเขามากยิ่งกว่า

ในด้านฉากแอ็กชันก็บอกกันตรงๆว่าในส่วนของมาร์เชียล อาร์ตก็ยังทำเป็นมาตรฐาน John Wick ครับ เป็นมิได้ด้อยกว่าแม้กระนั้นก็จำต้องลดความมุ่งมาดมาพอเหมาะพอควร UFABETWIN666 สำหรับคนไหนกันแน่ที่ผ่านตาหนัง ‘John Wick 4’ มาแล้ว ด้วยเหตุนั้นสเกลฉากแอ็กชันมิได้ใหญ่มหึมาราวกับหนังฉายโรงแม้กระนั้นแลกเปลี่ยนมาพร้อมกับความเดือดความเหี้ยมโหดจัดเต็มกำลังหนำใจสาวกลาบเลือดแน่ๆ